วันอาทิตย์ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

การจำแนกประเภทและแบ่งพันธุ์ไม้

การจำแนกประเภทและแบ่งพันธุ์ไม้

          มีหลักพิจารณาและจำแนกต่างกัน แล้วแต่ความมุ่งหมายและความประสงค์ ซึ่งอาจแบ่งจำพวกพันธุ์ไม้ดอกไม้ประดับเป็น 3 พวกใหญ่ ๆ คือ

  1. การแบ่งพันธุ์ไม้ดอกไม้ประดับตามความมุ่งหมายที่ใช้ หมายถึง การแบ่งพันธุ์ไม้ตามความต้องการและมุ่งหมายที่จะนำมาใช้เพื่อประโยชน์ ดังนี้

          1) ไม้ตัดดอก (Cut flower plant)

          หมายถึง ไม้ดอกที่ปลูก ณ สถานที่ที่มีภูมิประเทศ ภูมิอากาศ สภาพแวดล้อม เช่น สายลม แสงแดด อุณหภูมิ ดิน น้ำ ความชื้นสัมพัทธ์ การคมนาคม และระยะทางที่เหมาะสม เพื่อตัดเฉพาะส่วนดอกหรือช่อดอก ไปใช้ประโยชน์ หรือจำหน่าย เช่น แกลดิโอลัส เบญจมาศ เยอร์บีรา หน้าวัว กุหลาบ ดาวเรือง คาร์เนชัน และบัวหลวง ไม้ดอกดังกล่าวนี้ จะถูกตัดออกจากต้นไปใช้ประโยชน์พร้อมทั้งก้านดอกด้วย ทั้งนี้เพราะก้านดอกเป็นแหล่งสะสมอาหาร เมื่อดอกถูกตัดจากต้นเพื่อนำไปปักแจกัน หรือจัดกระเช้า อาหารที่เก็บสะสมไว้ที่ก้านดอกจะถูกนำมาใช้ ช่วยให้ดอกไม้มีอายุการใช้งานยาวนานขึ้น ดังนั้นคุณลักษณะสำคัญของไม้ตัดดอก นอกจากดอกจะต้องสวยสดแล้ว ก้านดอกก็ต้องใหญ่ ยาว และแข็งแรง แต่ไม่เกะกะเก้งก้าง บรรจุหีบห่อได้ง่าย ขนส่งสะดวก มีน้ำหนักไม่มากนัก และเก็บรักษาได้นาน

          ยังมีไม้ดอกอีกหลายชนิดที่มีก้านดอกสั้น กลวงและเปราะหักง่ายแต่ดอกสวยหรือมีกลิ่นหอม อายุการใช้งานทนนาน สามารถใช้ประโยชน์ได้ดีในวิถีชีวิตของคนไทย โดยการนำเฉพาะส่วนดอกไปร้อยมาลัย ทำอุบะ จัดพานพุ่ม หรือนำไปจัดแจกัน โดยใช้ก้านเทียมแทน เช่น รัก มะลิ พุด จำปี จำปา แวนดาโจคิม บานไม่รู้โรย




          2) ไม้ดอกกระถาง (Flowering pot plant)

          หมายถึง ไม้ดอกที่ปลูกเลี้ยงในกระถางตั้งแต่เริ่มเพาะเมล็ดหรือย้ายต้นกล้า โดยการเปลี่ยนกระถางให้มีขนาดใหญ่ขึ้นเป็นลำดับให้เหมาะสมกับความสูงและการเจริญเติบโตของต้น เมื่อออกดอก จะนำไปใช้ประโยชน์ในการประดับทั้งต้นทั้งดอก พร้อมทั้งกระถาง ทำให้อายุการใช้งานทนนานกว่าไม้ตัดดอก เช่น บีโกเนีย แพนซี แอฟริกันไวโอเลต กล็อกซิเนีย อิมเพเชียน พิทูเนีย

          ไม้ดอกที่นำมาปลูกเป็นไม้กระถางจึงต้องมีทรงพุ่มต้นกะทัดรัด ไม่เกะกะเก้งก้าง หรือมีต้นสูงใหญ่ เกินกว่าที่จะนำมาปลูกเลี้ยงได้ในกระถางขนาดเล็กพอประมาณเพื่อความสะดวกในการขนย้าย ที่สำคัญคือควรจะออกดอกบานพร้อมเพรียงกันเกือบทั้งต้น เพื่อความสวยงามในการใช้ประดับ ปัจจุบันวิทยาการเจริญก้าวหน้าอย่างมาก มนุษย์สามารถปลูกเลี้ยงไม้ดอกหลายๆ ชนิดในกระถางขนาดเล็ก แม้จะมีขนาดต้นสูงใหญ่ โดยการใช้สารเคมีที่เรียกว่า สารชะลอการเจริญเติบโต ราดหรือพ่น เพื่อทำให้ไม้ดอกเหล่านั้น มีขนาดต้นเตี้ยลงตามความต้องการ ตลอดจนใช้เทคนิคบางประการในระหว่างการปลูกเลี้ยง เพื่อบังคับให้ไม้ดอกออกดอกพร้อมเพรียงกันทั้งต้นได้ โดยคงจำนวน ขนาด และสี ตลอดจนความสวยงามของดอก ให้ใกล้เคียงกับของเดิมทุกประการ



          3) ไม้ดอกประดับแปลง (Bedding plant)

          หมายถึง ไม้ดอกที่ปลูกลงแปลง ณ บริเวณที่ต้องการปลูกตกแต่ง เพื่อประดับบ้านเรือน อาคารสถานที่ ตลอดจนสวนสาธารณะ โดยไม่ตัดดอกหรือส่วนใดส่วนหนึ่งไปใช้ประโยชน์ แต่ปล่อยให้ออกดอกบานสะพรั่งสวยงาม ติดอยู่กับต้นภายในแปลงปลูก เพื่อประโยชน์ในการประดับ จนกว่าจะร่วงโรยไป

  2.  การแบ่งพันธุ์ไม้ดอกไม้ประดับตามลักษณะนิสัยของพันธุ์ไม้ เช่น การแบ่งตามถิ่นกำเนิด แบ่งตามอายุความเจริญเติบโตของพันธุ์ไม้ ตามลักษณะเนื้อไม้ ตามสิ่งแวดล้อม และตามลักษณะของลำต้น

  3.  การแบ่งพันธุ์ไม้ดอกไม้ประดับตามหลักพฤกษศาสตร์ มีความมุ่งหมายเพื่อจำแนกพันธุ์ไม้ทั่ว ๆ ไปให้แน่ชัดในรูปร่าง ลักษณะนิสัยการดำรงชีพ และการสืบพันธุ์ ของพันธุ์ไม้ให้อยู่เป็นกลุ่มที่แน่นอน ไม่ปะปนกัน


ที่มา

วันเสาร์ที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

ประโยชน์ของไม้ดอกและไม้ประดับ

       ประโยชน์ของไม้ดอกและไม้ประดับ

           ไม้ดอกและไม้ประดับมีประโยชน์ดังนี้
1 สร้างความสดชื่นให้แก่ผู้อาศัยในบริเวณบ้าน หรือบริเวณที่พักอาศัย
2 ใช้ประดับตกแต่งอาคาร สถานที่ให้เกิดความสวยงาม
3 ใช้ในงานพิธีและโอกาสต่างๆ เช่น งานแต่งงาน งานไหว้ครู งานศพ เป็นต้น
4 ใช้เพิ่มสีสันให้แก่อาหารและเครื่องดื่ม ให้สวยน่ารับประทาน เช่น สีม่วงจากดอกอัญชัน สีเขียวจากใบเตย สีเหลืองจากฟักทอง เป็นต้น
5 ใช้เป็นยารักษาโรค เช่น ดอกบัวหลวง ใช้ใบอ่อนปรุงเป็นยา บำรุงร่างกายให้สดชื่น ใบแก่ใช้แก้ไข้ บำรุงโลหิต เป็นต้น
6 ใช้เป็นของขวัญ ของที่ระลึก เช่น กระเช้าดอกไม้ หรือแจกันดอกไม้ ช่อดอกไม้ เป็นต้น

7 สร้างอาชีพ เกี่ยวกับดอกไม้ ไม้ประดับ เช่น การจำหน่ายไม้ดอก ไม้ประดับ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ธุรกิจจัดสวน เป็นต้น






ที่มา  http://www.thaieditorial.com

วิธีการดูแลรักษาไม้ดอก-ไม้ประดับ

    วิธีการดูแลรักษาไม้ดอก-ไม้ประดับ


วิธีการดูแลรักษาไม้ดอก
หลังจากทำการปลูกไม้ดอกประดับลงในแปลงใหม่ ๆ ควรทำร่มบังแดดให้กับต้นกล้าที่ปลูกประมาณ 7 - 10 วัน เพื่อช่วยให้ต้นกล้านั้นตั้งตัวได้เร็วขึ้น สำหรับการดูแลรักษาที่ควรปฏิบัติ คือ
1. การให้น้ำ เมื่อทำการปลูกใหม่ ๆ ควรรดน้ำให้วันละ 2 ครั้ง คือในตอนเช้าและตอนเย็น หรือตามความต้องการของพันธุ์ไม้ที่ปลูก เช่น บางวันลมแรง แดดจัด อากาศร้อน การคายน้ำย่อมมีมากอาจต้องมีการให้น้ำเพิ่มขึ้น สภาพของดินก็มีส่วนสำคัญต่อการให้น้ำ ดินบางชนิดอาจต้องรดน้ำบ่อย ๆ เนื่องจากดินไม่สามารถเก็บกักน้ำไว้ได้ ดังนั้นผู้ปลูกจึงต้องเรียนรู้ถึงความ ต้องการน้ำของพืชที่ปลูกด้วยตัวเองในระยะแรกของการปลูกซึ่งจะทำให้ทราบว่าจะต้องให้น้ำวันละกี่ครั้ง หรือ กี่วันครั้ง
2. การพรวนดิน เพื่อกำจัดวัชพืชควรทำทุก 10 วัน ถ้าเป็นพื้นที่ขนาดเล็ก เช่น แปลงขนาด 4 X 4 เมตร อาจใช้เสียมมือ หรือ ส้อมพรวน ค่อย ๆ พรวนดินระหว่างแถวที่ปลูกพืช แต่ถ้าเป็นพื้นที่ขนาดใหญ่ก็ควรใช้จอบพรวน การพรวนดินบริเวณที่มีรากฝอยจะช่วยกระตุ้นให้เกิดการสร้างรากฝอยมากขึ้น แต่ต้องระวังอย่าไปตัดรากพืชโดยเฉพาะรากแก้ว เพราะจะทำให้พืชชะงักการเจริญเติบโตได้

3. การให้ปุ๋ย ถึงแม้ว่าเวลาเตรียมดินจะมีการใส่ปุ๋ยลงในแปลงแล้วก็ตามแต่ก็ควรให้ปุ๋ยที่เป็นธาตุอาหารแก่พืชเพิ่ยง เร่งในส่วนที่เราต้องการ เช่น ปุ๋ยยูเรีย เพื่อเร่งการเจริญเติบโต



การดูแลรักษาไม้ประดับ

-แสง ต้องการแสงแดดรำไร หรือปานกลาง
-น้ำ ต้องการปริมาณน้ำปานกลาง ควรให้น้ำ 3 - 5 วัน / ครั้ง
-ดิน ดินผสมพิเศษ กาบมะพร้าว
-ปุ๋ย ปุ๋ยอินทรีย์ผสมพิเศษ หรือปุ๋ยเคมี สูตร 10-10-10 5-10-5 อัตราและคำแนะนำระบุไว้ตามฉลาก
ละลายน้ำฉีดพ่นตาม ใบ ควรให้ 1 - 2 เดือน / ครั้ง  



                                                                                                                ที่มา  http://scienceplant.wikispaces.com

หลักการปลูกไม้ดอกไม้ประดับ

การปลูกไม้ดอกไม้ประดับ

       ไม้ดอกไม้ประดับที่จะนำมาปลูกสำหรับจัดสวนนั้น อาจจะปลูกลงดินเป็นต้นเดียว เป็นกอ เป็นแถว หรือปลูกลงในแปลง แต่ถ้าต้องการจะปลูกไว้ตกแต่งอาคารก็ใช้ปลูกในกระถาง การปลูกลงในกระถางนั้นจะต้องพิจารณาดูว่า ควรจะใช้กระถางขนาดใด รูปทรงกระถางเป็นอย่างไรจึงจะสวยงามและเหมาะสมกับต้นไม้

1. การปลูกต้นไม้ลงในหลุม ควรปฎิบัติดังนี้
ก่อนที่จะปลูกต้นไม้ลงในหลุม จะต้องพิจารณาดูเสียก่อนว่าต้นไม้ที่จะนำมาปลูก เป็นเป็นต้นไม้ที่ชอบดินมีลักษณะอย่างไร เช่น ต้นไม้ที่ชอบที่ลุ่มมีน้ำขัง ถ้าเอาต้นไม้ที่ไม่ชอบน้ำชื้นแฉะมาปลูกแล้ว ต้นไม้นั้นก็ไม่เจริญเติบ โตหรืออาจตายได้ หรือต้นไม้ที่ชอบขึ้นในเลน น้ำเค็ม หากเอาต้นไม้ที่ไม่ชอบน้ำเค็มไปปลูกแล้ว ต้นไม้ก็อาจตายได้ดังนี้ เป็นต้น
เมื่อเลือกต้นไม้ที่ชอบสภาพดินและลักษณะดินได้แล้ว ก็จะต้องเตรียมดินปลูกในหลุมนั้น โดยการขุดหลุมตามขนาดของต้นไม้ ถ้าเป็นต้นไม้เล็กก็ขุดหลุมเล็ก ถ้าเป็นต้นไม้ใหญ่ก็ควรขุดหลุมกว้างและลึกไม่ต่ำกว่า 50 ซม. หรือลึกเท่ากับความยาวของรากแก้ว เมื่อขุดดินแล้วก็ตากดินนั้นไว้ที่ปากหลุมประมาณ 1 สัปดาห์ เพื่อฆ่าวัชพืชที่ไม่ต้องการ เมื่อตากดินไว้ 1 สัปดาห์แล้วก็นำปุ๋ยคอก หรือปุ๋ยวิทยาศาสตร์ 1 ส่วน ปูนขาวที่ทำจากเปลือกหอย 1 ส่วน หรือจะใช้ปุ๋ยอินทรีย์ (ปุ๋ย กทม.) แทนปุ๋ยคอกก็ได้ผสมกับดินให้เข้ากันแล้วนำใส่ก้นหลุม
นำต้นไม้ที่เตรียมไว้ปลูกวางลงบนดินที่ผสมไว้
ปักหลักแล้วผูกต้นไม้นั้นไม่ให้ล้ม ถ้าเป็นต้นไม้ที่มีลำต้นแข็งแรง อาจจะไม่ต้องปักหลักก็ได้
เอาดินที่ขุดตากไว้ใส่ลงในหลุมดิน ตอนบนควรใส่ลงไปข้างล่าง ส่วนดินล่างก้นหลุมควรกลบไว้ข้างบนกดดินให้แน่น เพื่อมิให้ต้นไม้เอนไปมาหาวัตถุพวกหญ้าแห้ง ฟาง แกลบ คลุมดิน เพื่อรักษาความชิ้นไว้เสร็จแล้วรดน้ำให้ชุ่ม
ถ้าต้นไม้นั้น เป็นต้นไม้ที่ถอนกล้า ต้นเล็กมาปลูก ก็ต้องทำที่กำบังแดดจนกว่าต้น ไม้จะทรงตัวได้จึงเอาออก
การปลูก ควรจะปลูกในตอนเย็น



2. การปลูกต้นไม้ในแปลง ควรปฎิบัติดังนิ้
ก่อนปลูกจะต้องทำแปลงขนาดกว้างยาวตามพื้นที่ แต่ความกว้างไม่ควรเกิน 1 เมตร ถ้าแปลงกว้างเกิน 1 เมตร ทำให้ดูแลรักษายาก การทำแปลงนี้กระทำโดยการขุดดิน ตามความกว้างยาวของแปลงนั้น เก็บวัชพืชที่อยู่ในดินออกแล้วตากไว้ให้ดินแห้งประมาณ 1 สัปดาห์ เมื่อตากดินแห้งแล้วก็ย่อยดินให้เป็นก้อนเล็ก ๆ ผสมดินนั้นด้วยปุ๋ยคอก ปูนขาว และปุ๋ยอินทรีย์ หรือปุ๋ยเทศบาลกทม. อย่างละ 1 ส่วนบนดินนั้น เมื่อผสมได้ที่แล้วก็ทำเป็นรูปแปลง เตรียมที่จะปลูกต้นไม้ต่อไป
ก่อนที่จะปลูกต้องพิจารณาดูว่าต้นไม้ที่จะนำมาปลูกนั้นจะปลูกเป็นแถวติดกันหรือห่างกัน ถ้าห่างก็ขุดดินเป็นหลุมเล็ก ๆ ไว้ตามระยะที่เห็นสมควร ถ้าจะปลูกเป็นแถวก็ทำดิน ให้เป็นรางติดต่อกัน
การถอนกล้ามาปลูก ควรใช้ไม้งัดให้มีดินติดมาด้วย อย่าให้รากขาด ถ้ารากขาดจะทำให้ต้นไม้เจริญเติบโตช้า เมื่อถอนกล้ามาแล้ว ก็นำมาปลูกลงในร่องหรือหลุมนั้น การถอนย้ายกล้ามาปลูก ควรทำในตอนเย็น ๆ
เมื่อตั้งต้นกล้าลงในหลุมได้ที่แล้ว ก็เอาดินกลบกดดินให้แน่น เพื่อให้รากเกาะกับ ดิน
หาหญ้าหรือฟางคลุมดิน แล้วรดน้ำให้ชุ่ม
ถ้าต้นไม้นั้นยังเล็กไม่แข็งแรง ก็จะต้องทำร่มให้ต้นไม้จนกว่าต้นไม้จะทรงตัว



3. การปลูกต้นไม้ลงกระถาง ควรปฎิบัติดังนิ้
ก่อนที่จะปลูกต้นไม้ลงในกระถาง จะต้องเลือกกระถางให้มีขนาดพอเหมาะกับต้นไม้นั้น ๆ เมื่อได้กระถางมาแล้วก็หากระเบื้องแตกประมาณ 2-3 ชิ้น วางปิดรูก้นกระถาง ทุบอิฐมอญเป็นก้อนเล็ก ๆ ใส่ลงก้นกระถางสูงขึ้นมาประมาณ 1 นิ้ว เพื่อช่วยในการระบายน้ำได้ดีขึ้น
ผสมดินสำหรับปลูกต้นไม้ทั่ว ๆ ไป ดังนี้ ดินร่วน 1 ส่วน ใบไม้ผุ 1 ส่วน ปุ๋ยเทศบาล 1 ส่วน ใส่ลงไปประมาณครึ่งกระถาง เอาต้นไม้วางลง แล้วเอาดินที่ผสมไว้ใส่ลงเกือบเต็มกระถาง เหลือไว้ประมาณ 1 นิ้ว กดดินให้แน่นเพื่อไม่ให้ต้นไม้ล้ม
รดน้ำให้ชุ่มแล้วยกวางในที่ร่ม หรือพักไว้ในเรือนต้นไม้จนกว่าต้นไม้จะทรงตัวแล้ว จึงออกวางเป็นไม้ประดับได้
ในการปลูกต้นไม้ประดับชนิดไม้ใบ อาจจะปลูกรวมกันหลายชนิด ในกระถางเดียวกันก็ได้ โดยเลือกความสูงของต้น สีของต้นและใบให้ต่างกัน ก็จะแลดูสวยงามยิ่งขึ้น
ถ้าเป็นต้นไม้สำหรับตกแต่งอาคาร เช่น นำมาปลูกไว้ภายในบ้าน ต้องเลือกกระถาง ที่สวยงามพอสมควรหรือนำต้นไม้ที่ปลูกไว้ ในกระถางแล้วมารวมลงในกระถางที่สวยงามนั้นก็ได้ ข้อสำคัญอีกอย่างหนึ่ง กระถางนั้นต้องมีจานสำหรับรองน้ำเพื่อกันไม่ให้น้ำไหลออก มาภายนอกเมื่อเวลารดน้ำ

สำหรับต้นไม้ที่นำมาไว้ในอาคาร บางชนิดจะต้องเปลี่ยนอยู่เสมอ กล่าวคือ เมื่อนำมาไว้สัก 1 สัปดาห์แล้วต้องเปลี่ยนออกเอา ต้นอื่นมาแทน ทั้งนี้เพื่อป้องกันมิให้ต้นไม้โทรม 



                          ที่มา http://www.thaikasetsart.com/

การขยายพันธุ์ไม้ดอกไม้ประดับ

การขยายพันธุ์ไม้ดอกไม้ประดับ
       
                การขยายพันธุ์พืช หมายถึง การเพิ่มจำนวน ต้นพืชให้มีปริมาณมากขึ้น
การขยายพันธุ์ไม้ดอกไม้ประดับแบ่งเป็น 2 ประเภท คือ
1. การขยายพันธุ์แบบใช้เพศ
2. การขยายพันธุ์แบบไม่ใช้เพศ
การขยายพันธุ์แบบใช้เพศ

หมายถึง การขยายพันธุ์โดยการใช้เมล็ด การขยายพันธุ์วิธีนี้เกี่ยวข้องกับการผสมพันธุ์ระหว่างเกสรตัวผู้กับเกสรตัวเมีย ผลที่ได้รับจากการผสมพันธุ์ คือ เมล็ด ได้แก่ ดาวเรือง บานไม่รู้โรย บานชื่น ดอกรัก ทานตะวัน อัญชัน พวงชมพู กระดุมทอง ผีเสื้อ หงอนไก่ ฯลฯ




การขยายพันธุ์แบบไม่ใช้เพศ

หมายถึง การขยายพันธ์ที่นำเอาส่วนอื่นๆ นอกเหนือจากเมล็ด
มาขยายพันธุ์ เช่น ลำต้น ใบ ราก เป็นต้น
การขยายพันธุ์มีหลายวิธี ได้แก่
1. การเพาะเมล็ด พืชที่นิยมทำ ได้แก่ ทานตะวัน ดาวเรือง บานชื่น บานไม่รู้โรย ฯลฯ
2. การปักชำกิ่ง ไม้ดอกไม้ประดับที่นิยมทำ ได้แก่ กุหลาบ เข็ม ดอกพุด เฟื่องฟ้า เทียนทอง ผกากรอง ลีลาวดี ชบา ฤาษีผสม โป๊ยเซียน โกสน ฯลฯ
3. การติดตา ไม้ดอกไม้ประดับที่นิยมทำ ได้แก่ กุหลาบ ชบา
4. การตอนกิ่ง ไม้ดอกไม้ประดับที่นิยมทำ ได้แก่ กุหลาบ เข็ม พุด มะลิ โกสน แก้ว ฯลฯ
5. การโน้มกิ่ง ไม้ดอกไม้ประดับที่นิยมทำ ได้แก่ มะลิ เสาวรส พวงทองเครือฯลฯ




ที่มา http://rassamee5.blogspot.com/ 

ความหมายของไม้ดอกไม้ประดับ

ความหมายของไม้ดอกไม้ประดับ


                   ไม้ดอก  หมายถึง  พืชที่ปลูกขึ้นเพื่อใช้ประโยชน์จากดอก  พืชชนิดนี้มีลักษณะดอกสวยงาม  มีทั้งไม้ยืนต้นขนาดใหญ่  ไม้พุ่ม  และไม้ล้มลุก บางชนิดมีดอกสวยงามติดต้นนิยมปลูกประดับตกแต่งอาคารสถานที่  เรียกว่า ไม้ดอก เช่น ลั่นทม ยี่โถ ยี่เข่ง เข็ม ชวนชม ดาวกระจาย บานชื่น พุทธรักษา โป๊ยเซียน เป็นต้น  บางชนิดปลูกเพื่อตัดดอกนำไปใช้ประโยชน์โดยตรง เรียกว่า ไม้ตัดดอก เช่น กุหลาบ ดาวเรือง หน้าวัว เบญจมาศ ซ่อนกลิ่น ขิงแดง กล้วยไม้ เป็นต้น

           ไม้ประดับ  หมายถึง  พืชที่ปลูกขึ้นเพื่อใช้ประโยชน์จากรูปร่าง รูปทรง สีสันของลำต้นและใบ พืชชนิดนี้จะมีรูปทรง รูปร่าง สีสีนของลำต้นและใบสวยงามแตกต่างกันไป  นิยมปลูกประดับตกแต่งอาคารสถานที่ทั้งในพื้นดินและในกระถาง มีทั้งไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ ไม้พุ่ม และไม้ล้มลุก เช่น ปาล์มต่าง ๆ ข่อย สนชนิดต่าง ๆ ไทรยอดด่าง ฤาษีผสม เฟิร์นชนิดต่าง ๆ สาวน้อยประแป้ง ว่านกาบหอย เป็นต้น

              




                     ไม้ดอกไม้ประดับ หมายถึง ไม้ดอกที่นำมาใช้ในการประดับตกแต่งสวน  หรือสถานที่ต่างๆ โดยไม้ดอก (Flowering  plant)  หมายถึง  พรรณไม้ที่ออกดอกมีสีสันสวยงาม  หรือมีกลิ่นหอม

ที่มาhttps://sites.google.com/site/maidokmaipradabs/page1

ข้อดี-ข้อเสียของคอมพิวเตอร์



ข้อดี-ข้อเสียของคอมพิวเตอร์


ข้อดีของคอมพิวเตอร์
ข้อดี มีดังนี้
1. ความเร็วสูง
2.ความถูกต้องแม่นยำและน่าเชื่อถือ
3. ความสามารถในการจำหรือรักษา
4. การประหยัด
5. การใช้งานได้อีกหลายๆด้าน







ข้อเสียของคอมพิวเตอร์
ทำให้ความสัมพันธ์ของมนุษย์เสื่อมลง 
ทำให้เกิดความขัดแย้ง 
ทำให้เกิดความเสี่ยงในด้านข้อมูล                                     
ทำให้เกิดการแพร่วัฒนธรรมอันไม่พึงประสงค์

ที่มา  http://www.l3nr.org/posts/415410


คอมพิวเตอร์เครื่องแรกของโลก

คอมพิวเตอร์เครื่องแรกของโลก
   จอห์น ดับลิว มอชลีย์ (John W. Mauchly) และ เจ เพรสเพอร์ เอคเกิรต (J. Prespern Eckert) ได้รับทุนอุดหนุนจากกองทัพสหรัฐอเมริกา ในการสร้างเครื่องคำนวณ ENIAC เมื่อปี 1946 นับว่าเป็น "เครื่องคำนวณอิเล็กทรอนิกส์เครื่องแรกของโลก หรือคอมพิวเตอร์เครื่องแรกของโลก"
    ENIAC เป็นคำย่อของ Electronics Numerical Integrator and Computer เป็นเครื่องคำนวณที่มีจุดประสงค์เพื่อใช้งานในกองทัพ โดยใช้คำนวณตารางการยิงปืนใหญ่ วิถีกระสุนปืนใหญ่่ อาศัยหลอดสุญญากาศจำนวน 18,000 หลอด มีน้ำหนัก 30 ตัน ใช้เนื้อที่ห้อง 15,000 ตารางฟุต เวลาทำงานต้องใช้เวลาถึง 140 กิโลวัตต์ คำนวณในระบบเลขฐานสิบ เครื่อง ENIAC นี้มอชลีย์ ได้แนวคิดมาจากเครื่อง ABC ของอาตานาซอฟ


         ขนาดของเครื่อง ENIAC มีขนาดใหญ่เป็นกำลังสอง (Two orders of magnitude) เมื่อเทียบกับคอมพิวเตอร์ที่มีผลิตใช้งานในปัจจุบัน อีกทั้งยังทำงานได้ช้ากว่าคอมพิวเตอร์ในปัจจุบันมากกว่า 100,000 เท่า (Five orders of magnitude) โดยสามารถทำการบวกได้ 1,900 ครั้งต่อนาที เครื่อง ENIAC รองรับการทำงาน Conditional Jump และ สามารถโปรแกรมได้ ซึ่งเป็นข้อแตกต่างที่เด่นชัดเมื่อเปรียบเทียบกับเครื่องคำนวณในยุคเดียวกัน การเขียนโปรแกรมทำโดยการเสียบสายต่อสายต่างๆ และการตั้งค่าตามสวิทช์ การป้อนข้อมูลทำโดยการใช้งานบัตรเจาะ การเขียนโปรแกรมแต่ละครั้งใช้เวลาตั้งแต่ครึ่งชั่วโมงถึงทั้งวัน เครื่อง ENIAC เป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ที่สามารถใช้งานได้หลากหลาย แต่มีข้อจำกัดเรื่องหน่วยความจำ และ การเขียนโปรแกรมที่ใช้เวลามาก
   ในปี 1944 John von Neumann ได้รับการชักชวนเข้าร่วมโครงการ ENIAC ระยะเวลาดังกล่าว กลุ่มนักวิจัยที่ทำงานได้มีการพูดคุยถึง วิธีการปรับปรุงการเขียน และบรรจุ โปรแกรมเข้าไปในเครื่อง และถึงแนวคิดของ Store Program จากการปรึกษาดังกล่าว John von Neumann ได้นำความคิดดังกล่าวมาตกผลึก และเขียนบันทึก แนวคิดของ Store Program เรียกว่า EDVAC (Electronic Discrete Variable Automatic Computer) จากนั้น Herman Goldstine ได้แจกจ่ายบันทึกดังกล่าวโดยมีชื่อของ John von Neumann เพียงชื่อเดียว มิได้ใส่ชื่อของ J. Presper Eckert และ John Mauchly ที่มีส่วนหลักในการทำงานด้วย บันทึกดังกล่าวเป็นที่มาของคำว่า von Neumann Computer ผู้บุกเบิกในสายของวิชาการคอมพิวเตอร์เป็นจำนวนมากเห็นว่าการแจกจ่ายบันทึกดังกล่าว ที่ทำให้เกิดความเข้าใจเรื่องคำว่า ``von Neumann Computer'' เป็นการให้เกียรติ J. Presper Eckert และ John Mauchly ที่เป็นวิศวกรที่เป็นส่วนหลักในโครงการ ENIAC น้อยเกินไป และเป็นการให้เกียรติ John von Neumann มากเกินไป
ในปี 1946 Maurice Wilkes ที่มหาวิทยาลัย Cambridge ได้มาเยี่ยมชมที่ Moore School และเข้าร่วมรับฟังชุดการบรรยายเรื่องการพัฒนาของอีเล็กทรอนิกส์คอมพิวเตอร์ เมื่อ Maurice ได้กลับมาที่ Cambridge Wilkes ได้ตัดสินใจที่จะสร้างคอมพิวเตอร์ที่ชื่อว่า EDSAC (Electronic Delay Storage Automatic Calculator) ในปี 1949 เครื่อง EDSAC เริ่มใช้งานได้ และเป็นคอมพิวเตอร์ ที่สมบูรณ์แบบในลักษณะที่เป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ที่เต็มรูปแบบที่ทำงานได้ และมีการทำงานแบบ Store-Program



ที่มา  http://www.l3nr.org/posts/321660

วันศุกร์ที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

องค์ประกอบของระบบคอมพิวเตอร์


องค์ประกอบของระบบคอมพิวเตอร์

   คอมพิวเตอร์ประกอบด้วยส่วนสำคัญ 5 ส่วนด้วยกัน คือ
1. ฮาร์ดแวร์ (Hardware) หมายถึง สิ่งที่มองเห็นและจับต้องสัมผัสได้ทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับคอมพิวเตอร์ ไม่ว่าจะเป็นตัวเครื่องคอมพิวเตอร์ (Case) เมนบอร์ด (Mainboard) และอุปกรณ์ต่อพ่วงรอบข้าง (Peripheral) ที่เกี่ยวข้อง เช่น ฮาร์ดดิสก์ แป้นพิมพ์ เม้าส์ หน่วยประมวลผลกลาง จอภาพ เครื่องพิมพ์ และอุปกรณ์อื่น ๆ ฮาร์ดแวร์จะไม่สามารถทำงานด้วยตัวเองเดี่ยว ๆ ได้ จะต้องนำมาต่อเชื่อมเพื่อทำงานร่วมกันเป็นระบบที่เรียกว่า "ระบบคอมพิวเตอร์ (Computer System)" ที่มีโครงสร้างของระบบจะทำงานตามโปรแกรมหรือซอฟต์แวร์ที่เขียนขึ้น
2. ซอฟต์แวร์ (Software) หมายถึง โปรแกรม (Program) หรือชุดคำสั่งที่ควบคุมให้เครื่องคอมพิวเตอร์ทำงานให้ได้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการ ซึ่งคอมพิวเตอร์ฮาร์ดแวร์ที่ประกอบออกมาจากโรงงานจะยังไม่สามารถทำงานได้ในทันที ต้องมีซอฟต์แวร์ซึ่งเป็นโปรแกรมหรือชุดคำสั่งที่สั่งให้ฮาร์ดแวร์ทำงานตามต้องการได้ โดยโปรแกรมหรือชุดคำสั่งนั้นจะเขียนจากภาษาต่าง ๆ ที่มนุษย์สร้างขึ้น เรียกว่า ภาษาคอมพิวเตอร์ (Programming Language) ภาษาใดภาษาหนึ่ง และมีโปรแกรมเมอร์ (Programmer) หรือนักเขียนโปรแกรมเป็นผู้ใช้ภาษาคอมพิวเตอร์เหล่านั้นเขียนซอฟต์แวร์แบบต่าง ๆ ขึ้นมา
ซอฟต์แวร์ สามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ
1) ซอฟต์แวร์ระบบ (System Software) เป็นซอฟต์แวร์ที่ทำหน้าที่จัดการและควบคุม ทรัพยากรต่าง ๆ ของคอมพิวเตอร์ และอำนวยความสะดวกด้านเครื่องมือสำหรับการทำงานพื้นฐานต่าง ๆ ตั้งแต่ผู้ใช้เริ่มเปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ การทำงานจะเป็นไปตามชุดคำสั่งที่เขียนขึ้น ตลอดจนควบคุมการสื่อสารข้อมูลในระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์
2) ซอฟต์แวร์ประยุกต์ (Application Software) หมายถึง ซอฟต์แวร์ที่สร้างหรือพัฒนาขึ้น เพื่อใช้งานด้านใดด้านหนึ่งโดยเฉพาะตามที่ผู้ใช้ต้องการ เช่น งานด้านการจัดทำเอกสาร การทำบัญชี การจัดเก็บข้อมูลข่าวสาร ตลอดจนงานด้านอื่น ๆ ตามแต่ผู้ใช้ต้องการ
3. ข้อมูล/สารสนเทศ (Data/Information) คือ ข้อมูลต่างๆ ที่เรานำมาให้คอมพิวเตอร์ทำการประมวลผลคำนวณ หรือกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งให้ได้มาเป็นผลลัพธ์ที่เราต้องการ ยกตัวอย่างเช่น ข้อมูลบุคลากรเกี่ยวกับรายละเอียดประวัติส่วนตัว ประวัติการศึกษาหรือ ประวัติการทำงาน ซึ่งอาจนำมาจำแนกเป็นรายงานต่างๆ เกี่ยวกับบุคลากรในหน่วยงานได้ หรือข้อมูลเกี่ยวกับตัวเลขมาตรๆ ไฟฟ้าของบ้านแต่ละหลัง ก็ใช้สำหรับคำนวณเป็นปริมาณไฟฟ้า ที่ใช้ในแต่ละเดือน แล้วคิดเป็นเงิน ที่จะต้องชำระให้กับการไฟฟ้าฯ
4. บุคคลากร (Peopleware) คือ เจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานต่างๆ และผู้ใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ในหน่วยงานนั้นๆ บุคลากรด้านคอมพิวเตอร์นั้น มีความสำคัญมาก เพราะการใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ทำงานต่างๆ นั้นจะต้องมีการจัดเตรียมเปลี่ยนระบบ จัดเตรียมโปรแกรมดำเนินการต่างๆ หลายอย่าง ซึ่งไม่สามารถทำด้วยตัวเองได้ ถ้าหากไม่ใช่ผู้ที่รู้เรื่องคอมพิวเตอร์มากนัก เราจึงถือว่าบุคลากร เป็นส่วนประกอบที่สำคัญของ ระบบคอมพิวเตอร์ด้วย ซึ่งสามารถสรุปเป็นประเภทใหญ่ ๆ ได้ดังนี้
- เจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ (Operator)
- บุคลากรที่เกี่ยวข้องกับระบบ (System)
- ผู้จัดการศูนย์ประมวลผลคอมพิวเตอร์ (Electronic Data Processing Manager)
- ผู้ใช้คอมพิวเตอร์ (Computer user)
5. กระบวนการทำงาน (Documentation/Procedure) เป็นขั้นตอนการทำงานเพื่อให้ได้ ผลลัพธ์หรือข้อสนเทศจากคอมพิวเตอร์ ในการทำงานกับคอมพิวเตอร์จำเป็นที่จะต้องให้ผู้ใช้เข้าใจขั้นตอนการทำงาน ต้องมีระเบียบปฏิบัติให้เป็นแบบเดียวกัน มีการจัดทำคู่มือการใช้คอมพิวเตอร์ให้ทุกคนเรียนรู้และใช้อ้างอิงได้นอกจากนั้นเมื่อการใช้มาตรฐาน ช่วยให้การประสานงาน ระหว่างหน่วยงานย่อยๆ ราบรื่น การจัดซื้อจัดหา ตลอดจนการบำรุงรักษาเครื่องคอมพิวเตอร์ และซอฟต์แวร์ก็จะง่ายขึ้นเพราะทุกหน่วยงานใช้มาตรฐานเดียวกัน